โดย โอสธี
ยามเย็น บริเวณใต้ทางด่วนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิกลายสภาพเป็นสถานีขนส่งแห่งความหวัง
คนนับพันมุ่งหน้ามาขึ้นรถตู้โดยสาร พวกเขายืนเข้าแถวตามช่องที่จะนำไปสู่ปลายทาง
มีให้เลือกตั้งแต่ระยะกลางอย่างบางมดหรือบางใหญ่ ไปจนถึงระยะไกลอย่างลพบุรีและระยอง
แต่ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน ทุกคนกลับมีจุดหมายเดียวกัน
นั่นคือลี้ภัยจากเมืองใหญ่แสนวุ่นวายไปสู่แดนสวรรค์ที่เรียกว่าบ้าน
หลังจากปล่อยให้ผู้โดยสารรอนานจนเหงื่อซึมหน้าผาก
รถตู้ประจำทางสายอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ – เมืองทองธานีก็แล่นเทียบท่า
คนที่ขึ้นก่อนรีบนั่งสามแถวแรกจนเต็ม
ใครไม่เคยใช้บริการรถตู้อาจไม่รู้ว่าเบาะสุดท้ายวางอยู่ใกล้หลังเต่าที่เว้าให้ล้อรถ
ผู้โดยสารมืออาชีพมักหลีกเลี่ยงเพราะนั่งเหยียดขาได้ไม่เต็มที่
ผู้ได้นั่งเบาะหลังคนแรกคือหนุ่มช่างกล
เขาอยู่ในชุดเสื้อช็อป ยีนส์ขาด รองเท้าผ้าใบ นั่งติดหน้าต่างด้านในสุด
คนต่อมาเป็นคุณป้าร่างใหญ่ เธอเลือกนั่งใกล้หน้าต่างอีกด้านหนึ่ง
ส่วนคนสุดท้ายเป็นหนุ่มออฟฟิศร่างท้วม สวมเสื้อเชิ้ต แสล้กส์ รองเท้าหนัง
เขาต้องนั่งตรงกลางอย่างไม่มีทางเลือก
ถึงคุณป้าจะเบียดตัวจนชิดผนังรถเพียงใดก็ยังกินที่ของหนุ่มออฟฟิศไปนิดหน่อย
ส่วนหนุ่มช่างกลนั่งถ่างขาตามประสาชายชาตรีอย่างไม่เกรงใจ
ทำให้หนุ่มออฟฟิศต้องนั่งหนีบเป้าจนอึดอัด แต่เขาไม่ปริปากบ่น
เพียงแต่เอาเข่าตัวเองยันเข่าฝ่ายตรงข้ามไว้ เผื่ออีกฝ่ายจะรู้ใจแล้วยอมหุบขาบ้าง
นี่จึงเป็นโอกาสให้เข่าทั้งสองได้สนทนากัน
อวัยวะส่วนนี้มีผิวหนังด้านหนาที่สุดในร่างกายมนุษย์
มันจึงไม่อายที่จะทักทายเข่าแปลกหน้า
“ขอโทษนะครับ เจ้านายผมช่างไม่มีมารยาทเอาเสียเลย”
หัวเข่าในกางเกงยีนส์พูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ
ถึงหนังจะหนาแต่หัวเข่ากลับมีมารยาทงดงามกว่าอวัยวะบอบบางส่วนอื่น
คงเพราะถูกใช้ในการกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เป็นประจำนั่นเอง
“ไม่หรอกครับ ถ้าเจ้านายผมกล้าพูดกับเจ้านายคุณตรงๆ คุณคงไม่ต้องมาเบียดเสียดกับผม”
หัวเข่าในกางเกงแสล้กส์แสดงความเกรงใจไม่แพ้กัน
ทั้งสองผลัดกันขอโทษขอโพยอยู่หลายทีกว่าจะเริ่มสนทนา
“เป็นอย่างไรบ้างครับ สบายดีไหม”
เข่าในกางเกงยีนส์ถามอย่างห่วงใย เพราะเข่าในกางเกงแสล้กส์ดูไม่แข็งแรงนัก
“ไม่ค่อยสบายครับ เจ้านายผมทำงานนั่งโต๊ะ แทบจะไม่ได้ขยับตัวเลยทั้งวัน
แถมน้ำหนักตัวยังเพิ่มขึ้นจนน่ากลัว ผมต้องโวยวายให้เจ้ากระเพาะมันพักผ่อนเสียบ้าง
ไม่อย่างนั้นผมคงเสื่อมก่อนวัยอันควร พูดแล้วก็อิจฉาเข่าคนหนุ่มอย่างคุณ
ท่าทางจะได้ออกกำลังกายอยู่เสมอนะครับ”
“ไม่เลยครับ เจ้านายผมออกจากบ้านก็ไม่ได้ไปโรงเรียนหรอก
แวะเข้าร้านเกมไปเล่นเกมฟุตบอลทั้งวัน
ท่านั่งก็ไม่ถูกสุขลักษณะจนเจ้ากระดูกสันหลังต้องมาปรับทุกข์กับผมอยู่บ่อยๆ”
“โธ่ ยังหนุ่มยังแน่นอยู่แท้ๆ”
“เรื่องอย่างนี้ต้องรอให้แก่เสียก่อนถึงจะรู้สึกตัวครับ
แทนที่จะเล่นเกมฟุตบอลที่ได้บริหารแต่เจ้านิ้วมือ
ควรเอาเวลาไปเตะฟุตบอลเสียดีกว่า”
“ใช่ครับ เราอาจต้องบาดเจ็บบ้างจากการเข้าปะทะ แต่มันก็ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น
บางเวลาเจ้านายผมก็อยากเล่นฟุตบอลนะ แต่เขาไม่รู้จะเล่นกับใคร
เพื่อนที่ทำงานก็มีแต่พวกเล่นพนันบอลอย่างเดียว”
“แหม ถ้าใจตรงกันขนาดนี้อยากให้เจ้านายเราได้คุยกันบ้าง
เผื่อจะได้จับคู่ไปเล่นฟุตบอลที่สนามใกล้บ้าน”
“นั่นสิครับ มนุษย์นี่ประหลาดเสียจริง
ทั้งที่นั่งเข่าชนกันขนาดนี้กลับไม่พูดกันสักคำ”
ระหว่างที่เข่าคุยกัน เจ้าดวงตากลับแกล้งทำเป็นหลับ เจ้าปากปิดสนิท
ส่วนเจ้าหูกำลังแอบฟังการคุยโทรศัพท์ของนักศึกษาสาวที่นั่งอยู่แถวหน้า
รถตู้ใช้เวลาไม่นานก็เดินทางถึงเมืองทองธานี เข่าทั้งสองต่างกล่าวคำอำลา
พวกมันจำใจพาเจ้านายแยกย้ายไปคนละทิศตามวิถีทางของคนแปลกหน้า.
นึกถึงเพลง people are strange ของ the doors ค่ะ
:]
ป.ล. อ้อ อย่างนี้นี่เองคนเราถึงต้องจับเข่าคุยกัน -*-
ชอบอ่ะ คำว่าเข่าคุยกัน
.
.
แต่เฮ้ย!..ความคิดลามกแว้บมาได้ไง(ได้ดิ่ เพราะนี่คือบุ๋ม)
.
..
..
เอ่อ..อวัยวะบางอย่างคุยกันอาจจะฟังไม่ได้ศัพท์นะ…
คุณโอขี้ประชด >< แก่ๆ ไปต้องเป็นคุณลุงขี้บ่นอย่างแน่นอน!
จินตนาการได้น่ารักจังเลยค่ะ 🙂